วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2559

รับมือ “เอ็นทรานซ์ 4.0"

       ห่างหายจากระบบการศึกษาไทยไปนานนับสิบปี กับ “เอ็นทรานซ์” หรือ #เอ็นสะท้าน ที่เด็ก’ 48 จำได้ขึ้นใจ! แต่นับจากนี้ เด็ก’61 ต้องเตรียมตัวครั้งใหญ่เพราะจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่น้องๆ ต้องรู้นั่นคือการยกเลิกระบบสอบแอดมิชชั่น เป็นการสอบ “เอ็นทรานซ์ 4.0”







“เอ็นทรานซ์ 4.0 หรือ เอ็นทรานซ์ 61” 

       เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ.2559 แต่มหาวิทยาลัยเขาได้นัดประชุมกันแบบเร่งด่วน เพื่อหาข้อสรุปในเรื่องนี้ครับ ซึ่งในที่ประชุมมีตัวแทนแต่ละมหาวิทยาลัยมาครบ ไม่รู้ลึกๆ แต่ละมหาวิทยาลัยเห็นด้วยกับระบบใหม่นี้ทุกแห่งหรือไม่ แต่ในที่สุดที่ประชุมก็มีมติออกมาว่า "ปี 61 ยกเลิกแอดมิชชั่นแน่นอน" พร้อมโปรยแนวคิดของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยระบบใหม่ คือ "เอนทรานซ์ 4.0" ซึ่งเป็นการผสมผสานของการสอบเอนทรานซ์และแอดมิชชั่นนั้นเอง

        นพ.อุดม คชินทร อธิการมหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะประธานนั่งหัวโต๊ะที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย เมื่อวานนี้ได้เล่าว่า มีข้อสรุปให้ยกเลิกระบบแอดมิชชั่น ในปี 2561 และให้ปรับมาใช้ "ระบบการรับตรงกลางร่วมกัน" หรือ "เอนทรานซ์ 4.0" โดยระบบใหม่นี้จะมีข้อสอบกลางเป็นข้อสอบ GAT PAT, 9 วิชาสามัญ และ ONET ที่ดูแลโดย สทศ. โดยจัดสอบหลังจบ ม.6 ประมาณเดือน มี.ค.- เม.ย. จากนั้นเมื่อทราบผลคะแนนแล้วจะเปิดรับสมัครเลือกสาขาวิชาและมหาวิทยาลัยที่ต้องการเข้าเรียนได้ 4 อันดับ จากนั้นมหาวิทยาลัยจะคัดเด็กตามลำดับคะแนน โดยต่างคนต่างคัด และแจ้งผลการคัดเลือกกลับมาที่ส่วนกลางว่าเพื่อเข้าสู่ระบบเคลียริ่งเฮาส์ ซึ่งเปิดให้ยื่น 2 รอบ

        เป็นการสอบระบบใหม่ ที่จะเริ่มใช้ในปี 2561 ซึ่งจะเปิดสอบ “พร้อมกันทั่วประเทศ” เพียงครั้งเดียวโดยใช้ข้อสอบกลาง (หากมหาวิทยาลัยไหนจะจัดสอบเองต้องขออนุญาตก่อน) และน้องๆ สามารถนำคะแนนที่ได้มายื่นสมัครเลือกคณะที่ต้องการได้ 4 อันดับ มีสิทธิ์ในการยื่น คะแนนตามระบบเคลียริ่งเฮาส์ 2 ครั้ง

blog-thumb-2

สิ่งที่คงอยู่ และหายไป เมื่อปรับมาใช้ระบบ "เอนทรานซ์ 4.0"
  1. โควตา ยังมีการเปิดรับปกติ และสามารถรับได้ตลอดทั้งปี แต่ต้องไม่ใช่โควตาที่เป็นการสอบข้อเขียน อาทิ โควตานักกีฬา (คัดจากผลงานด้านกีฬา) โควตาเรียนดี (ผลงานด้านเกรดเฉลี่ย)
  2. เคลียริ่งเฮาส์ ยังมีปกติ แต่เพิ่มเป็น 2 ครั้ง ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการหลังเลือก 4 อันดับ
  3. GAT PAT ยังมีปกติ แต่เหลือเพียงรอบเดียว และจะเลื่อนไปสอบหลังจบ ม.6 คือช่วงเดือนมีนาคม
  4. วิชาสามัญ ยังมีปกติ จะเลื่อนไปสอบหลังจบ ม.6 คือช่วงเดือนมีนาคม
  5. ONET ยังมีปกติ จะเลื่อนไปสอบหลังจบ ม.6 คือช่วงเดือนมีนาคม
  6. รับตรง ที่มหาวิทยาลัยจัดสอบเอง ยังมีปกติ แต่ต้องดำเนินการหลังจากจบกระบวนการเคลียริ่งเฮาส์เรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็คือช่วง มิ.ย.
  7. แอดมิชชั่น ไม่มีแล้ว เพราะ 4 อันดับถูกย้ายไปรวมกันเป็น 1 ในขั้นตอนของระบบใหม่
  8. กฏเหล็ก ให้ทุกมหาวิทยาลัยใช้ข้อสอบกลาง และหากที่ไหนจำเป็นต้องจัดสอบเอง ต้องผ่านการอนุญาตจาก ทปอ. โดยจะพิจารณาตามเหตุผล และกำหนดให้จัดสอบหลังจบกระบวนการเคลียริ่งเฮ้าส์เท่านั้น ส่วนเกณฑ์การคัดเลือกต่างๆ ในระบบเอนทรานซ์ 4.0 ให้มหาวิทยาลัยและคณะเป็นผู้กำหนดเอง
ซึ่งกระบวนการตามระบบคือ
  1. นักเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 สอบปลายภาคเรียบร้อยแล้ว
  2. เปิดสอบ GAT PAT และ 9 วิชาสามัญ (สอบประมาณช่วงกลางมีนาคม 2561)
  3. นำคะแนนที่ได้ ไปยื่นเลือกคณะที่ต้องการ 4 อันดับ
  4. มหาวิทยาลัยคัดเลือกนักศึกษา ส่งชื่อเข้าระบบเคลียริ่ง #เคลียริ่งรอบที่1
  5. เปิดให้นักเรียนที่ไม่ติดคณะที่ต้องการ ในรอบแรก ยื่นคะแนนรอบที่2
  6. นักเรียนผ่านการคัดเลือก #เคลียริ่งรอบ2
ซึ่งระหว่างที่มีการสอบ ยื่นคะแนน และมหาวิทยาลัยทำการคัดเลือกอยู่นั้น ทางกระทรวงศึกษาธิการจะไม่อนุญาตให้มหาวิทยาลัยเปิดสอบรับตรงใดๆ ทั้งสิ้น เพื่อลดปัญหาเด็กต้องวิ่งสอบหลายสนาม รวมถึงลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
หากนักเรียนที่จะจบการศึกษาและเข้าสอบระบบเอนทรานซ์ 4.0 อย่าเพิ่งตกใจหรือหวั่นไหวกับระบบเอนทรานซ์ 4.0 มากไปเพราะ ระบบการสอบเปลี่ยน ไม่ได้แปลว่าการสอบจะลดน้อยลง แต่เป็นเพียง “การเลื่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยออกไป” จากเดิมต้องสอบช่วงเทอม 2 ของ ม.6 เปลี่ยนเป็นสอบหลังจากจบ ม.6
เท่ากับว่า DEK61 จะเริ่มสอบสนามแรก คือ เดือน มี.ค. 2561 และสอบติดๆ กัน ทั้ง GAT, PAT, 9 วิชาสามัญ และ ONET และมีโอกาสสอบได้เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น !!!

เมื่อระบบเปลี่ยน เราจะปรับตัวกันอย่างไรล่ะ?

แนวทางที่อยากแนะนำให้น้องๆ ได้เริ่มลองวางแผนกัน โดยเฉพาะในช่วง ต.ค.59 นี้ มี บันไดแห่งความสำเร็จ 4 ขั้น มาแนะนำกัน เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จของระบบเอ็นทรานซ์ 4.0 แล้วเราจะสู้ไปด้วยกันนะ
บันไดขั้นที่ 1 ทบทวนความรู้ ม.4 ม.5 ให้ดี ปิดเทอม ต.ค.นี้ หาเวลาทบทวนเนื้อหา หรือลงคอร์ส ม.5 ล่วงหน้าเพื่อความพร้อมของการทำเกรดในโรงเรียน และเป็นพื้นฐานความรู้ที่เราจะใช้สอบในทุกๆ สนามสอบ
บันไดขั้นที่ 2 ม.5 เทอม 2 เริ่มหาข้อมูลการเลือกคณะกันอย่างจริงจัง อย่างน้อยก็ให้มีคณะในใจสัก 3-4 ที่ แล้วลองหาข้อมูลว่าในระบบรับตรงปัจจุบัน คณะเท่านี้ เลือกที่จะใช้คะแนนสอบไหนยื่นคะแนน แล้วลิสต์ไว้ก่อน (รอประกาศที่ชัดเจน เม.ย.60)
บันไดขั้นที่ 3 ทดลองนำข้อสอบของสนามนั้นๆ มาลองเปิดดู เลือกทำโจทย์เตรียมความพร้อมของเนื้อหา ม.4 และ ม.5 แค่เนื้อหาสองส่วนนี้ อย่างน้อยก็ คือสัดส่วนวัดผลข้อสอบ 2 ใน 3 ของความรู้มัธยมปลายแล้วนะ
บันไดขั้นที่ 4 SUMMER เปิดเทอมขึ้น ม. 6 อ่านหนังสือ หรือเรียนเนื้อหา ม.6 เมื่อทราบเกณฑ์ชัดเจนแล้วก็ลุยเตรียมความพร้อมตะลุยโจทย์ข้อสอบสนามนั้นๆ (เก็บเนื้อหา ม.ปลาย ให้จบในเดือน ต.ค. 60 เพื่อจะได้มีเวลาเตรียมพร้อมตะลุยโจทย์ข้อสอบกัน)
เริ่มตั้งแต่วันนี้ อย่าชะล่าใจ เย้ๆ ดีใจ เลื่อนสอบออกไปอีกตั้งครึ่งปี เริ่มก่อนได้เปรียบ ลองปรับวิธีบันได 4 ขั้นสู่ความสำเร็จ เอ็นทรานซ์ 4.0 กันนะ
หน่วยงานต่างๆ ของระบบ "เอนทรานซ์ 4.0"
มหาวิทยาลัย >> กำหนดเกณฑ์วิชาที่ใช้ และ-ส่วนคะแนน ให้อิสระโดยไม่จำเป็นต้องเหมือนกันแต่ละมหาวิทยาลัย
สทศ. >> จัดสอบข้อสอบกลาง นั้นคือ GAT PAT วิชาสามัญ และ ONET
สอท. >> จัดระบบเคลียริ่งเฮ้าส์

ขอบคุณข้อมูลจาก  http://www.ondemand.in.th/article/entrance-61/
                             https://www.dek-d.com/board/view/3681768/
                             http://www.webythebrain.com/article/entrance-61

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

อนาคตของฉันในอีก 10 ปี ข้างหน้า

        ถ้าพูดถึงอนาคตทุกคนก็คงอยากจะรู้ว่าอนาคตของเราจะเป็นอย่างไร อนาคตเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้แต่เราสามารถกำหนดและเลือกทางเดินในอนาคตของตัวเองได้ว่าต้องการจะให้เป็นอย่างไรไปในทางไหน มันก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเองคนอื่นก็ไม่สามารถกำหนดอนาคตของเราได้ ถ้าเราทำตัวดีตั้งใจเรียนเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่เราก็จะมีอนาคตที่ดี แต่ถ้าเราไม่สนใจในการเรียนทำให้พ่อแม่เสียใจทุกคนก็คงจะรูว่าการกระทำเช่นนั้นมันจะส่งผลให้ตัวเรามีชีวิตในอนาคตที่ไม่ดีแน่นอน
        และถ้าพูดถึงเรื่องความใฝ่ฝันทุกคนก็คงจะมีความใฝ่ฝันที่อยากจะได้อยากจะมีอยากจะเป็นแน่นอน และฉันอยากช่วยเหลือสัตว์และฉันชอบอยู่กับสัตว์ ซึ่งทำให้ฉันอยากดูแล ตรวจร่างกายของสัตว์ต่างๆ และฉีดยาป้องกันโรคให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเลี้ยงดูสัตว์ บางครั้งก็ต้องเสียสละเวลา ความเป็นส่วนตัว แรงกาย แรงใจ เพื่อเยียวยารักษาชีวิต เพื่อเฝ้าดูอาการของสัตว์ หากฉันได้เป็นสัตวแพทย์ ฉันคิดว่าฉันจะมีความสุขในการทำงาน ก่อนที่จะได้เป็นนั้นฉันจะต้องขยัน เพื่อที่จะทำให้ฝันเป็นจริง และอีกเหตุผลก็คือ ครอบครัวอยากที่จะให้ฉันเป็น ฉันก็ต้องทำมันให้ได้ เพื่อครอบครัวและเพื่อตัวฉันเองและเวลาที่เห็นสุนัขที่บ้านบาดเจ็บทำให้อยากรักษาด้วยตัวเอง อยากดูแลอย่างใกล้ชิดหรือเวลาเห็นสุนัขตามท้องถนนที่ได้รับบาดเจ็บเราก็อยากที่จะรักษาเอาไว้ เพราะถ้าเราเอาสัตว์จรจัดเหล่านี้ไปร้านก็เสียเงินอย่างมาก ถ้าเรารักษาเองได้คงจะดีไม่น้อย


รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ทำไมถึงอยากเป็นสัตวแพทย์

        สัตวแพทย์ไม่รวย ถ้าอยากรวยต้องทำอาชีพเสริมอย่างอื่น อยากบอกว่าสัตวแพทย์เหมือนไม่ใช่อาชีพด้วยซ้ำ แต่เป็นหน้าที่ เงินเป็นผลพลอยได้ สำหรับหมอ สิ่งที่ได้รับจริงๆ จึงไม่ใช่เงิน แต่เป็นการยอมรับจากคนที่เห็นว่าเรารักษาสัตว์อย่างจริงจัง จริงใจ ซึ่งต้องใช้เวลาสั่งสมหลายปี หรือเด็กที่เราเห็นอุ้มหมามารักษาตั้งแต่ตัวเล็กๆ จนโตเป็นวัยรุ่น และบอกว่าอยากเป็นสัตวแพทย์ ความที่เรารักษากันมานาน จึงไม่ได้คิดว่าเขาเป็นแค่เจ้าของหมา แต่เหมือนคนคุ้นเคยในครอบครัวไปแล้ว เหมือนมีญาติมากมาย สัตว์ไม่มีการแกล้ง เจ็บก็เจ็บ มันซื่อสัตย์และรักเราเสมอ ไม่ว่าเราจะเป็นอย่างไร
        และอาชีพนี้ยังตรวจและวินิจฉัยโรคหรืออาการบาดเจ็บของสัตว์  นอกเหนือจากนั้น สัตวแพทย์ยังมีการบำบัดรักษาป้องกันและการกำจัดโรคโดยการใช้ยา การผ่าตัด การฝังเข็มหรือใช้รังสีในการรักษา  การผ่าซากสัตว์เพื่อการชันสูตรโรคทำการตอนหรือขยายพันธุ์สัตว์ด้วยเทคนิคที่สามารถป้องกันการแพร่หรือการติดต่อของโรคทางการสืบพันธุ์ค้นหาข้อมูลเหตุของโรคระบาดหรือโรคติดต่อพร้อมกับหาทางป้องกันไม่ให้เชื้อโรคแพร่ไปยังสัตว์หรือจากสัตว์มาสู่คน รวมถึงการทำงานด้านนิเวศวิทยา สุขศาสตร์การอาหารมาตรฐานอาหารและปนเปื้อนในอาหารที่มีต้นกำเนิดมากจากสัตว์เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคทำการเพิ่มผลผลิตในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ให้มีประสิทธิภาพและทำการวิจัยและพัฒนาทางด้านสัตวแพทย์
        อาชีพสัตวแพทย์ไม่จำเป็นต้องเปิดคลินิกอย่างเดียว เรายังมีการทำงานที่โรงพยาบาล จะมีลักษณะคล้ายกับโรงพยาบาลของคน คือจะแบ่งออกเป็นแผนกต่างๆทั้ง หน่วยเวชระเบียน หน่วยเภสัช หน่วยอายุรกรรม หน่วยศัลยกรรมและรังสวิทยา

        วิชาที่นักศึกษาสัตวแพทย์ต้องเรียน 
    1. กลุ่มวิชาพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์  ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ
    2. กลุ่มวิชา preclinicหรือกลุ่มวิชาที่ศึกษาถึงความปกติและผิดปกติของสัตว์ที่จะเป็นพื้นฐานในวิชา clinic  วิชา    พวกนี้เช่น anatomy physiology pathology เป็นต้น
    3. กลุ่มวิชา clinic เป็นวิชาในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการรักษา หรือการแก้ไขความผิดปกติ เช่น วิชาอายุรศาสตร์และ    ศัลยศาสตร์ เป็นต้น
    4.นอกจากนี้ในหลักสูตรยังมีการฝึกงานในด้านต่างๆอีก
    ซึ่งถ้าแบ่งแบบละเอียดๆในแต่ละชั้นปีที่จะต้องเรียนมีดังนี้ 
    
       ชั้นปีที่ 1
    - อังกฤษ 
    - เคมีทั่วไป
    - ฟิสิกส์ทางการแพทย์
    - Lab เคมี และ Lab ฟิสิกส์ 
   
       ชั้นปีที่ 2
  • วิชากายวิภาค  หรือ Anatomy เรียนเกี่ยวกับโครงสร้างที่มองเห็นด้วยตาเปล่าในสุนัขทดลองที่ดอง ฟอร์มาลิน 
  • วิชา Histology หรือชื่อภาษาไทยว่า จุลกายวิภาควิทยา ที่เรียนเกี่ยวกับโครงสร้าง (ที่ตาเปล่ามองไม่เห็น) โดยกล้องจุลทรรศน์ 
  • วิชา Embryology ที่เรียนเกี่ยวกับพัฒนาการของ ตัวอ่อนในท้องแม่
  • วิชาชีวเคมี (Biochem) ที่เรียนเกี่ยวกับโครงสร้างสารเคมี โปรตีน ไขมัน และตามมาด้วยวิชาหลักสัตวบาล 2 ที่เรียนเกี่ยวกับพันธุ์และการเลี้ยงไก่และหมู  
  • สถิติ (Stat bio sci)
          ชั้นปีที่ 3 
-   Anatomy III biochem III และPhysio 
-  วิชา อาหารสัตว์ ที่เรียนเกี่ยวกับวัตถุดิบอาหารสัตว์ และคำนวณสูตรอาหารในสัตว์แต่ละชนิด
-  วิชาจุลชีววิทยา หรือ Microbiology ที่เรียนเกี่ยวกับเชื้อราและแบคทีเรียต่างๆที่ก่อโรคในสัตว์ 
-  Immunology ที่เรียนเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

ชั้นปีที่ 4
- อายุรศาสตร์ตามระบบอวัยวะ หรือ Internal Med เป็นวิชาว่าด้วยหลักการรักษาโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคตับ 
- วิชาเทคนิคการวินิจฉัยและการรักษาโรคสัตว์ ที่จะพูดถึงการตรวจวินิจฉัยโรคและการรักษาคร่าวๆ ในแต่ละระบบ และแต่ละชนิดสัตว์ 
- วิชาหลักการศัลยศาสตร์และวิสัญญี หรือ surgery จะพูดถึงขั้นการตอน บวกกับวิธีการผ่าตัดเบื้องต้น จนถึงการวางยาสลบในสัตว์ 
- วิชา พิษวิทยา ที่พูดถึงสารที่เป็นพิษ ทั้งจาก ธรรมชาติ จากสารเคมี และจากการรักษา 
- วิชารังสีวิทยาที่จะพูดถึงหลักการของเครื่อง X-Ray และ Ultrasound และการแปลผล 
- เภสัชวิทยา 3 และวิชาพยาธิวิทยาเฉพาะระบบ หรือ Special Path

ชั้นปีที่ 5
-  med สัตว์น้ำที่เรียนทั้งสัตว์เศรษฐกิจและสัตว์สวยงาม med หมู และ med สัตว์ปีก วิชาสูติศาสตร์ที่เรียนเกี่ยวกับการท้อง ทั้งการตรวจจนถึงคลอด 
-  วิชาทางด้านสัตวแพทย์สารธารณสุข อย่างวิชา สุขศาสตร์อาหาร l หรือ food hygiene ที่เรียนเกี่ยวกับอาหารและโรคติดต่อทางอาหาร (ในคน) รวมถึงการเก็บและแปรรูปอาหารด้วย 

ชั้นปีที่ 6
     ปีนี้เป็นปีที่จะมีการให้เลือกฝึกงาน เป็นปีที่สนุกมากที่เราได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาทั้งหมดอย่างเต็มที่ และเป็นการถามตัวเองว่าเราชอบการเป็นสัตวแพทย์จริงๆหรือไม่  โดยแบ่งเป็นฝึกงานทั้งในด้านสัตว์เลี้ยง และฝึกงานด้านปศุสัตว์ ทั้ง 2 เทอมเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง 

อยากเรียนคณะสัตวแพทย์ต้องเตรียมตัวอย่างไร
ก่อนอื่นขอแนะนำ  สถาบันที่ได้รับการรับรองแล้ว 6 สถาบัน โดยกลุ่มนี้จะผ่านการรับรองมีนักศึกษาสำเร็จการศึกษาไปแล้วหลายรุ่น มั่นใจได้ว่าเรียนที่นี่ได้สอบใบประกอบวิชาชีพแน่ ๆ
    • มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
    • จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    • มหาวิทยาลัยขอนแก่น
    • มหาวิทยาลัยมหิดล
    • มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
    • มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร
    และอีกลุ่มคือ สถาบันที่อยู่ระหว่างการดำเนินการรับรองปริญญาฯ ยังไม่เคยมีนักศึกษาจบ โดยทางสัตวแพทย์ นั้นจะเข้าตรวจเยี่ยม ประเมินคุณภาพอยู่เรื่อยๆ โดยส่วนตัว เชื่อว่าท้ายที่สุดน่าจะผ่านทุกสถาบัน ถ้าน้องๆ เกิดสนใจจะสมัครจริงๆ แนะนำให้โทรไปที่ สัตวแพทย์สภา สอบถามถึงความคืบหน้า ของการรับรอง 
    • มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
    • มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก
    • มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย
    • มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น
    • มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
    คุณสมบัติทั่วไป ( รอบแอด)
    - จบการศึกษา ม.ปลาย สายวิทย์-คณิต 
    - กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ ไม่น้อยกว่า 22 หน่วยกิต
    -  กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ ไม่น้อยกว่า 12 หน่วยกิต
    -  กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ ไม่น้อยกว่า 9 หน่วยกิต


    คุณสมบัติทางร่างกาย 

            เป็นผู้มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง และปราศจากโรค อาการของโรค หรือความพิการที่เป็นอุปสรรคต่อการศึกษา การปฏิบัติงานและการประกอบวิชาชีพ ดังนี้
    1. มีปัญหาทางจิตเวชรุนแรงอันอาจเป็นอันตรายต่อตนเอง และ/หรือ ผู้อื่น เช่น โรคจิต/(Psychotic Disorders) กลุ่มอาการออทิสซึม (Autistic Spectrum) โรคอารมณ์ผิดปกติ (Mood Disorders) โรคประสาทรุนแรง (Severe Neurosis Disorders) โรคบุคลิกภาพผิดปกติ (Personality Disorders) โดยเฉพาะ Antisocial Personality Disorders หรือ Borderline Personality Disorders รวมถึงปัญหาทางจิตเวชอื่น ๆ อันเป็นอุปสรรคต่อการศึกษา การปฏิบัติงาน และการประกอบวิชาชีพ
    2. เป็นโรคติดต่อในระยะติดต่ออันตราย ที่อาจเกิดอันตรายต่อตนเอง ต่อผู้ป่วย หรือส่งผลให้เกิดความพิการอย่างถาวร อันเป็นอุปสรรคต่อการศึกษา การปฏิบัติงาน และการประกอบวิชาชีพ
    3. เป็นโรคไม่ติดต่อ หรือภาวะอันเป็นอุปสรรคต่อการศึกษา ที่อาจเกิดอันตรายต่อตนเอง ต่อผู้ป่วย และการประกอบวิชาชีพ ดังนี้
    • ลมชักที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ (โรคลมชักที่ไม่มีอาการชักมาแล้วอย่างน้อย 3 ปี โดยมีการรับรองจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ถือเป็นโรคลมชักที่ควบคุมได้)
    • โรคหัวใจระดับรุนแรง จนเป็นอุปสรรคต่อการศึกษา การปฏิบัติงาน และการประกอบวิชาชีพ โรคความดันโลหิตรุนแรงและมีภาวะแทรกซ้อนจนทำให้เกิดพยาธิสภาพต่ออวัยวะอย่างถาวร
    • ภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย
    • โรคติดสารเสพติดให้โทษ
    • โรคหรือความพิการอื่น ๆ ซึ่งมิได้ระบุไว้ข้างต้น แต่คณะกรรมการแพทย์ผู้ตรวจร่างกาย เห็นว่า เป็น อุปสรรคต่อการศึกษา การปฏิบัติงาน และการประกอบวิชาชีพ
    4.  มีความผิดปกติในการเห็นภาพ โดยมีความผิดปกติอย่างน้อยข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
    • ตาบอดสีชนิดรุนแรงทั้งสองข้าง โดยได้รับการตรวจอย่างละเอียดแล้ว
    • ตาบอดทั้งสองข้าง
    • ระดับการมองเห็นในตาข้างที่ดีหลังจากได้รับการแก้ไขแล้ว แย่กว่า 6/12 หรือ 20/40 เฉพาะคณะแพทยศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์และคณะพยาบาลศาสตร์
    • ไม่สามารถมองเห็นภาพเป็นสามมิติเฉพาะคณะทันตแพทยศาสตร์
    5. มีความผิดปกติในการได้ยิน โดยมีระดับการได้ยินของหูข้างที่ดีกว่าเฉลี่ยที่ความถี่ 500-2000 เฮิรตซ์ สูงกว่า 40 เดซิเบล จากความผิดปกติของประสาทและเซลล์ประสาทการได้ยิน (sensory neural hearing loss)


    การรับสมัครคัดเลือก คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ ระบบ Admissions กลาง
    เกณฑ์คัดเลือก GPAX 20% O-NET 30% GAT 20% PAT2 30%


    ระบบแอดกลางนี่ ถ้าเป็น ม.รัฐสถาบันที่ผ่านการรรับรองแล้วจะเห็นคะแนน  20100 - 20700 
    GPAX  3.6
    O-NET 64 %
    GAT 270
    PAT2  140  

    •  ของ ม.เกษตร ยังมี อีก 2 โครงการหลักคือ โครงการเรียนล่วงหน้า , โครงการทายาทเกษตกร
    • โครงการนักกีฬาของหลายๆมหาวิทยาลัยก็เปิดรับนะคะ คณะสัตวแพทย์แต่รับน้อยมาก
    • จะเห็นได้ว่า ถ้าเป็นรับตรง ส่วนใหญ่จะกำหนด GPAX ขั้นต่ำไว้ที่ 3.00 ทั้งนั้น
    • ใครจะเข้า เกษตร มหิดล ก็ต้องสอบ วิชาสามัญด้วย
    • โครงการพิเศษ ม.ขอนแก่น ค่าเทอมจะสูงกว่าปกตินะ


    ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.unigang.com/Article/27433 
                                  http://www.a-chieve.org/information/detail/10141