และถ้าพูดถึงเรื่องความใฝ่ฝันทุกคนก็คงจะมีความใฝ่ฝันที่อยากจะได้อยากจะมีอยากจะเป็นแน่นอน และฉันอยากช่วยเหลือสัตว์และฉันชอบอยู่กับสัตว์ ซึ่งทำให้ฉันอยากดูแล ตรวจร่างกายของสัตว์ต่างๆ และฉีดยาป้องกันโรคให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเลี้ยงดูสัตว์ บางครั้งก็ต้องเสียสละเวลา ความเป็นส่วนตัว แรงกาย แรงใจ เพื่อเยียวยารักษาชีวิต เพื่อเฝ้าดูอาการของสัตว์ หากฉันได้เป็นสัตวแพทย์ ฉันคิดว่าฉันจะมีความสุขในการทำงาน ก่อนที่จะได้เป็นนั้นฉันจะต้องขยัน เพื่อที่จะทำให้ฝันเป็นจริง และอีกเหตุผลก็คือ ครอบครัวอยากที่จะให้ฉันเป็น ฉันก็ต้องทำมันให้ได้ เพื่อครอบครัวและเพื่อตัวฉันเองและเวลาที่เห็นสุนัขที่บ้านบาดเจ็บทำให้อยากรักษาด้วยตัวเอง อยากดูแลอย่างใกล้ชิดหรือเวลาเห็นสุนัขตามท้องถนนที่ได้รับบาดเจ็บเราก็อยากที่จะรักษาเอาไว้ เพราะถ้าเราเอาสัตว์จรจัดเหล่านี้ไปร้านก็เสียเงินอย่างมาก ถ้าเรารักษาเองได้คงจะดีไม่น้อย
และอาชีพนี้ยังตรวจและวินิจฉัยโรคหรืออาการบาดเจ็บของสัตว์ นอกเหนือจากนั้น สัตวแพทย์ยังมีการบำบัดรักษาป้องกันและการกำจัดโรคโดยการใช้ยา การผ่าตัด การฝังเข็มหรือใช้รังสีในการรักษา การผ่าซากสัตว์เพื่อการชันสูตรโรคทำการตอนหรือขยายพันธุ์สัตว์ด้วยเทคนิคที่สามารถป้องกันการแพร่หรือการติดต่อของโรคทางการสืบพันธุ์ค้นหาข้อมูลเหตุของโรคระบาดหรือโรคติดต่อพร้อมกับหาทางป้องกันไม่ให้เชื้อโรคแพร่ไปยังสัตว์หรือจากสัตว์มาสู่คน รวมถึงการทำงานด้านนิเวศวิทยา สุขศาสตร์การอาหารมาตรฐานอาหารและปนเปื้อนในอาหารที่มีต้นกำเนิดมากจากสัตว์เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคทำการเพิ่มผลผลิตในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ให้มีประสิทธิภาพและทำการวิจัยและพัฒนาทางด้านสัตวแพทย์
อาชีพสัตวแพทย์ไม่จำเป็นต้องเปิดคลินิกอย่างเดียว เรายังมีการทำงานที่โรงพยาบาล จะมีลักษณะคล้ายกับโรงพยาบาลของคน คือจะแบ่งออกเป็นแผนกต่างๆทั้ง หน่วยเวชระเบียน หน่วยเภสัช หน่วยอายุรกรรม หน่วยศัลยกรรมและรังสวิทยาวิชาที่นักศึกษาสัตวแพทย์ต้องเรียน
1. กลุ่มวิชาพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ
2. กลุ่มวิชา preclinicหรือกลุ่มวิชาที่ศึกษาถึงความปกติและผิดปกติของสัตว์ที่จะเป็นพื้นฐานในวิชา clinic วิชา พวกนี้เช่น anatomy physiology pathology เป็นต้น
3. กลุ่มวิชา clinic เป็นวิชาในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการรักษา หรือการแก้ไขความผิดปกติ เช่น วิชาอายุรศาสตร์และ ศัลยศาสตร์ เป็นต้น
4.นอกจากนี้ในหลักสูตรยังมีการฝึกงานในด้านต่างๆอีก
2. กลุ่มวิชา preclinicหรือกลุ่มวิชาที่ศึกษาถึงความปกติและผิดปกติของสัตว์ที่จะเป็นพื้นฐานในวิชา clinic วิชา พวกนี้เช่น anatomy physiology pathology เป็นต้น
3. กลุ่มวิชา clinic เป็นวิชาในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการรักษา หรือการแก้ไขความผิดปกติ เช่น วิชาอายุรศาสตร์และ ศัลยศาสตร์ เป็นต้น
4.นอกจากนี้ในหลักสูตรยังมีการฝึกงานในด้านต่างๆอีก
ซึ่งถ้าแบ่งแบบละเอียดๆในแต่ละชั้นปีที่จะต้องเรียนมีดังนี้
ชั้นปีที่ 1
- อังกฤษ
- อังกฤษ
- เคมีทั่วไป
- ฟิสิกส์ทางการแพทย์
- Lab เคมี และ Lab ฟิสิกส์
- ฟิสิกส์ทางการแพทย์
- Lab เคมี และ Lab ฟิสิกส์
ชั้นปีที่ 2
- วิชากายวิภาค หรือ Anatomy เรียนเกี่ยวกับโครงสร้างที่มองเห็นด้วยตาเปล่าในสุนัขทดลองที่ดอง ฟอร์มาลิน
- วิชา Histology หรือชื่อภาษาไทยว่า จุลกายวิภาควิทยา ที่เรียนเกี่ยวกับโครงสร้าง (ที่ตาเปล่ามองไม่เห็น) โดยกล้องจุลทรรศน์
- วิชา Embryology ที่เรียนเกี่ยวกับพัฒนาการของ ตัวอ่อนในท้องแม่
- วิชาชีวเคมี (Biochem) ที่เรียนเกี่ยวกับโครงสร้างสารเคมี โปรตีน ไขมัน และตามมาด้วยวิชาหลักสัตวบาล 2 ที่เรียนเกี่ยวกับพันธุ์และการเลี้ยงไก่และหมู
- สถิติ (Stat bio sci)
ชั้นปีที่ 3
- Anatomy III biochem III และPhysio
- วิชา อาหารสัตว์ ที่เรียนเกี่ยวกับวัตถุดิบอาหารสัตว์ และคำนวณสูตรอาหารในสัตว์แต่ละชนิด
- วิชาจุลชีววิทยา หรือ Microbiology ที่เรียนเกี่ยวกับเชื้อราและแบคทีเรียต่างๆที่ก่อโรคในสัตว์
- Immunology ที่เรียนเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ชั้นปีที่ 4
- อายุรศาสตร์ตามระบบอวัยวะ หรือ Internal Med เป็นวิชาว่าด้วยหลักการรักษาโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคตับ
- วิชาเทคนิคการวินิจฉัยและการรักษาโรคสัตว์ ที่จะพูดถึงการตรวจวินิจฉัยโรคและการรักษาคร่าวๆ ในแต่ละระบบ และแต่ละชนิดสัตว์
- วิชาหลักการศัลยศาสตร์และวิสัญญี หรือ surgery จะพูดถึงขั้นการตอน บวกกับวิธีการผ่าตัดเบื้องต้น จนถึงการวางยาสลบในสัตว์
- วิชา พิษวิทยา ที่พูดถึงสารที่เป็นพิษ ทั้งจาก ธรรมชาติ จากสารเคมี และจากการรักษา
- วิชารังสีวิทยาที่จะพูดถึงหลักการของเครื่อง X-Ray และ Ultrasound และการแปลผล
- เภสัชวิทยา 3 และวิชาพยาธิวิทยาเฉพาะระบบ หรือ Special Path
ชั้นปีที่ 5
- med สัตว์น้ำที่เรียนทั้งสัตว์เศรษฐกิจและสัตว์สวยงาม med หมู และ med สัตว์ปีก วิชาสูติศาสตร์ที่เรียนเกี่ยวกับการท้อง ทั้งการตรวจจนถึงคลอด
- วิชาทางด้านสัตวแพทย์สารธารณสุข อย่างวิชา สุขศาสตร์อาหาร l หรือ food hygiene ที่เรียนเกี่ยวกับอาหารและโรคติดต่อทางอาหาร (ในคน) รวมถึงการเก็บและแปรรูปอาหารด้วย
ชั้นปีที่ 6
ปีนี้เป็นปีที่จะมีการให้เลือกฝึกงาน เป็นปีที่สนุกมากที่เราได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาทั้งหมดอย่างเต็มที่ และเป็นการถามตัวเองว่าเราชอบการเป็นสัตวแพทย์จริงๆหรือไม่ โดยแบ่งเป็นฝึกงานทั้งในด้านสัตว์เลี้ยง และฝึกงานด้านปศุสัตว์ ทั้ง 2 เทอมเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง
อยากเรียนคณะสัตวแพทย์ต้องเตรียมตัวอย่างไร
ก่อนอื่นขอแนะนำ สถาบันที่ได้รับการรับรองแล้ว 6 สถาบัน โดยกลุ่มนี้จะผ่านการรับรองมีนักศึกษาสำเร็จการศึกษาไปแล้วหลายรุ่น มั่นใจได้ว่าเรียนที่นี่ได้สอบใบประกอบวิชาชีพแน่ ๆ
- มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
- จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- มหาวิทยาลัยขอนแก่น
- มหาวิทยาลัยมหิดล
- มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร
และอีกลุ่มคือ สถาบันที่อยู่ระหว่างการดำเนินการรับรองปริญญาฯ ยังไม่เคยมีนักศึกษาจบ โดยทางสัตวแพทย์ นั้นจะเข้าตรวจเยี่ยม ประเมินคุณภาพอยู่เรื่อยๆ โดยส่วนตัว เชื่อว่าท้ายที่สุดน่าจะผ่านทุกสถาบัน ถ้าน้องๆ เกิดสนใจจะสมัครจริงๆ แนะนำให้โทรไปที่ สัตวแพทย์สภา สอบถามถึงความคืบหน้า ของการรับรอง
- มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
- มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก
- มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย
- มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น
- มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
คุณสมบัติทั่วไป ( รอบแอด)
- จบการศึกษา ม.ปลาย สายวิทย์-คณิต
- กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ ไม่น้อยกว่า 22 หน่วยกิต
- กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ ไม่น้อยกว่า 12 หน่วยกิต
- กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ ไม่น้อยกว่า 9 หน่วยกิต
คุณสมบัติทางร่างกาย
เป็นผู้มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง และปราศจากโรค อาการของโรค หรือความพิการที่เป็นอุปสรรคต่อการศึกษา การปฏิบัติงานและการประกอบวิชาชีพ ดังนี้
1. มีปัญหาทางจิตเวชรุนแรงอันอาจเป็นอันตรายต่อตนเอง และ/หรือ ผู้อื่น เช่น โรคจิต/(Psychotic Disorders) กลุ่มอาการออทิสซึม (Autistic Spectrum) โรคอารมณ์ผิดปกติ (Mood Disorders) โรคประสาทรุนแรง (Severe Neurosis Disorders) โรคบุคลิกภาพผิดปกติ (Personality Disorders) โดยเฉพาะ Antisocial Personality Disorders หรือ Borderline Personality Disorders รวมถึงปัญหาทางจิตเวชอื่น ๆ อันเป็นอุปสรรคต่อการศึกษา การปฏิบัติงาน และการประกอบวิชาชีพ
2. เป็นโรคติดต่อในระยะติดต่ออันตราย ที่อาจเกิดอันตรายต่อตนเอง ต่อผู้ป่วย หรือส่งผลให้เกิดความพิการอย่างถาวร อันเป็นอุปสรรคต่อการศึกษา การปฏิบัติงาน และการประกอบวิชาชีพ
3. เป็นโรคไม่ติดต่อ หรือภาวะอันเป็นอุปสรรคต่อการศึกษา ที่อาจเกิดอันตรายต่อตนเอง ต่อผู้ป่วย และการประกอบวิชาชีพ ดังนี้
- ลมชักที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ (โรคลมชักที่ไม่มีอาการชักมาแล้วอย่างน้อย 3 ปี โดยมีการรับรองจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ถือเป็นโรคลมชักที่ควบคุมได้)
- โรคหัวใจระดับรุนแรง จนเป็นอุปสรรคต่อการศึกษา การปฏิบัติงาน และการประกอบวิชาชีพ โรคความดันโลหิตรุนแรงและมีภาวะแทรกซ้อนจนทำให้เกิดพยาธิสภาพต่ออวัยวะอย่างถาวร
- ภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย
- โรคติดสารเสพติดให้โทษ
- โรคหรือความพิการอื่น ๆ ซึ่งมิได้ระบุไว้ข้างต้น แต่คณะกรรมการแพทย์ผู้ตรวจร่างกาย เห็นว่า เป็น อุปสรรคต่อการศึกษา การปฏิบัติงาน และการประกอบวิชาชีพ
4. มีความผิดปกติในการเห็นภาพ โดยมีความผิดปกติอย่างน้อยข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- ตาบอดสีชนิดรุนแรงทั้งสองข้าง โดยได้รับการตรวจอย่างละเอียดแล้ว
- ตาบอดทั้งสองข้าง
- ระดับการมองเห็นในตาข้างที่ดีหลังจากได้รับการแก้ไขแล้ว แย่กว่า 6/12 หรือ 20/40 เฉพาะคณะแพทยศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์และคณะพยาบาลศาสตร์
- ไม่สามารถมองเห็นภาพเป็นสามมิติเฉพาะคณะทันตแพทยศาสตร์
5. มีความผิดปกติในการได้ยิน โดยมีระดับการได้ยินของหูข้างที่ดีกว่าเฉลี่ยที่ความถี่ 500-2000 เฮิรตซ์ สูงกว่า 40 เดซิเบล จากความผิดปกติของประสาทและเซลล์ประสาทการได้ยิน (sensory neural hearing loss)
การรับสมัครคัดเลือก คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ ระบบ Admissions กลาง
เกณฑ์คัดเลือก GPAX 20% O-NET 30% GAT 20% PAT2 30%
ระบบแอดกลางนี่ ถ้าเป็น ม.รัฐสถาบันที่ผ่านการรรับรองแล้วจะเห็นคะแนน 20100 - 20700
GPAX 3.6
O-NET 64 %
GAT 270
PAT2 140
- ของ ม.เกษตร ยังมี อีก 2 โครงการหลักคือ โครงการเรียนล่วงหน้า , โครงการทายาทเกษตกร
- โครงการนักกีฬาของหลายๆมหาวิทยาลัยก็เปิดรับนะคะ คณะสัตวแพทย์แต่รับน้อยมาก
- จะเห็นได้ว่า ถ้าเป็นรับตรง ส่วนใหญ่จะกำหนด GPAX ขั้นต่ำไว้ที่ 3.00 ทั้งนั้น
- ใครจะเข้า เกษตร มหิดล ก็ต้องสอบ วิชาสามัญด้วย
- โครงการพิเศษ ม.ขอนแก่น ค่าเทอมจะสูงกว่าปกตินะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น